วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553
Reborn Baby
Bratz Dolls
Super Dollfie
Lumi doll
Barbie
กำเนิด "บาร์บี้" สาวน้อยพลาสติก
บุคคลที่เป็นผู้คิดค้นตุ๊กตา "บาร์บี้" มีชื่อว่า รูธ แฮนเลอร์ ประธานบริษัท "แมตเทล" ผู้จัดจำหน่ายของเล่นชื่อดังแห่งแดนลุงแซม เจ้าของลิขสิทธิ์ตุ๊กตาบาร์บา นั่นเอง แฮนเลอร์ ได้รับแรงบันดาลใจที่จะประดิษฐ์ตุ๊กตาบาร์บี้ หลังจากเธอสังเกตเห็นว่า บาร์บารา ลูกสาวของเธอชอบเล่นตุ๊กตากระดาษที่มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่มากกว่าที่เป็นเด็ก จึงทำให้เธอเกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาว่าอยากจะผลิตตุ๊กตาพลาสติกที่มีรูปโฉมเป็นผู้ใหญ่ออกวางขาย ทว่า ในตอนแรกคนรอบกายของเธอไม่เห็นด้วย ต่อมา เมื่อแฮนเลอร์มีโอกาสได้เดินทางไปท่องเที่ยวในยุโรปในปี 1956 เธอก็ไปสะดุดตากับตุ๊กตา "ไบล์ด ลิลลี" ของเยอรมนี (ตุ๊กตารูปหญิงสาววัยทำงานที่วางจำหน่ายครั้งแรกในเยอรมนีปี 1955 โดยเป้าหมายทางการตลาดในตอนแรกต้องการเจาะกลุ่มผู้ใหญ่ แต่กลับได้รับความนิยมในหมู่เด็กๆ มากกว่า) ซึ่งวางขายอยู่ในร้านขายของของสวิตเซอร์แลนด์และได้ซื้อกลับบ้านมา 3 ตัว โดยที่ตัวหนึ่งในลูกสาวส่วนที่เหลือนำมาเป็นต้นแบบในการผลิตตุ๊กตาบาร์บี้ จากนั้น แฮนเลอร์ก็ได้ดัดแปลงเปลี่ยนโฉมตุ๊กตาลิลลีใหม่หมด พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "บาร์บี้" ตามชื่อของลูกสาวเธอ ก่อนที่จะนำไปเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในงานมหกรรมของเล่นของมหานครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 1959 ซึ่งถือเป็นวันเกิดของบาร์บี้ด้วย หากนับจนถึงบัดนี้ บาร์บี้สาวน้อยพลาสติกก็มีอายุได้ 48 ปีแล้ว ถ้าเป็นคนจริงๆ ก็เรียกว่าเป็นคุณแม่ได้เลย ทว่า ในโลกของตุ๊กตา บาร์บี้ก็ยังคงความน่ารัก สวยงามและทันสมัยอยู่เช่นเคย และยังคงเป็นที่นิยมของเด็กๆ ทั่วโลกได้ทุกยุคทุกสมัย
Blythe
Blythe อ่านออกเสียงว่า Blahyth หรือ Blind (บลายธ์) เธอคือตุ๊กตาวินเทจเจ้าเสน่ห์ที่ถูกออกแบบให้ถือกำเนิดขึ้นในปี 2515 (ค.ศ. 1972) โดยโรงงานผลิตของเล่นในสหรัฐอเมริกา นามว่า เค็นเนอร์ (Kenner) ภายใต้ concept ที่อยากสร้างเอกลักษณ์ความแตกต่างให้เกิดขึ้นกับตุ๊กตา และหลังจากนั้น Kenner ได้ว่าจ้างดีไซเนอร์นักออกแบบของเล่นอย่าง Allison Katzman จาก Marvin Glass & Associates หนึ่งในสตูดิโอออกแบบของเล่นชื่อดังที่สุดในโลก ให้ดีไซน์ปลุกปั้นตุ๊กตา Blythe ฉบับออริจินัลขึ้น
โดย Allison Katzman ได้หยิบเอาดวงตาที่ตั้งใจจะใช้กับตุ๊กตาสุนัขมาใส่ในตัว Blythe ส่วนลำตัวแรกๆ ก็มีขนาดได้สัดส่วนกับหัวที่มีขนาดใหญ่ แต่ปรากฏว่ากล่องใส่มีขนาดสั้น จึงต้องลดสัดส่วนความยาวลำตัวให้บรรจุได้พอดี ตุ๊กตาบลายธ์จึงหัวโตตัวสั้น ดูเหมือนการ์ตูน แล้วนับแต่นั้นมา เด็กๆ ทั้งหลายก็ได้รู้จักกับของเล่นชิ้นใหม่ชิ้นนี้ ซึ่งสาว Blythe ปรากฎตัวครั้งแรกพร้อมกับทรงผมยอดฮิตในยุค 70s ซึ่งมีให้เลือกทั้งหมด 4 สี 4 แบบ พร้อมด้วยแฟชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์วินเทจที่มีให้ Mix & Match กว่า 12 ชุด โมเดลตุ๊กตาทั้ง 4 แบบ ชื่อ Blythe, Karess, Willow และ Skye จึงถูกคิดค้นขึ้นมา แต่ด้วยความที่อยากให้ตุ๊กตา Blythe ล้ำยุค และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร รูปลักษณ์ภายนอกของสาวบลายธ์จึงถูกออกแบบขึ้นมาอย่างโดนเด่น หัวโต ตัวผอม ความสูง 11.5 นิ้ว มีดวงตากลมโตเท่าไข่ห่านที่หลับได้เปิดได้ แถมเวลาเปิดเปลือกตาแต่ละครั้ง เธอสามารถเปลี่ยนสีดวงตาได้ถึง 4 สี คือ เขียว ชมพู ส้ม และน้ำเงิน เพียงแค่ดึงห่วงที่อยู่หลังศีรษะ และ Blythe สามารถบิดเอวและเข่าได้ เพื่อให้เปลี่ยนชุดได้ง่ายและสามารถโพสต์ท่าเหมือนนางแบบ ทว่าในคราวแรกที่เริ่มผลิตยังไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างเพราะมีปัญหานิดหน่อยตรงดีไซน์ดวงตากลมโตที่สามารถเปลี่ยนได้ 4 สีนั่นทำให้ (ในยุคนั้น) เธอกลายเป็นตุ๊กตาที่เด็กๆ พากันหวาดกลัว เลยไม่เป็นที่นิยม จนต้องปิดตัวลงหลังจากออกวางขายในตลาดได้แค่เพียง 1 ปีเท่านั้น ! จากนั้นในปี 2545 (ค.ศ. 2002) หรือ 30 ปี ต่อมาสาว Blythe ก็กลับมาได้รับความนิยมในหมู่นักสะสมอีกครั้ง หลังจากที่เหลือตกค้างอยู่ในสต๊อกมาเป็นเวลานาน เพราะหลังจากที่ Gina Garan (โปรดิวเซอร์สาวชาวอเมริกัน ) ได้รับตุ๊กตา Blythe เป็นของขวัญ ทำให้เธอตกหลุมรักมันพร้อมๆ กับถ่ายภาพเธอ Blythe เก็บไว้กว่า 100 รูป จนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือรวมภาพถ่ายชื่อ "This is Blythe" รวมถึงหนังสือ Firecracker Alternative Book ที่ขายได้กว่า 100,000 และจัดนิทรรศการแสดงภาพถ่าย ที่ทำให้ชื่อของ Gina's Gallery โด่งดังไปทั่วโลก
หลังจากที่ Hasbro (ผู้สืบทอดกิจการจาก Kenner) ได้มอบลิขสิทธิ์การผลิตตุ๊กตาให้กับบริษัท Takara ประเทศญี่ปุ่น Blythe ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนญี่ปุ่น จากการเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา TV ให้กับห้างสรรพสินค้าชื่อดังอย่าง Parco และเพียงชั่วข้ามคืนมันก็กลายเป็นตุ๊กตายอดนิยม ส่งผลให้ราคาประมูล Blythe บนเว็บไซร์ของ ebay ดีดตัวพุ่งสูงขึ้นจากเดิม $35 เป็น $350 ทันที รวมถึง Neo-Blythe บนเว็บประมูลของ Yahoo ขายหมดเกลี้ยงสต๊อกถึง 4 ครั้ง !
จากแวดวงนักสะสมระบาดลามข้ามมาแวดวงแฟชั่น เห็นชัดเมื่อถึงงาน Annual Blythe Charity Fashion Show ได้มีการระดมพลสุดยอดดีไซเนอร์ฝีมือดีของห้องเสื้อแบรนด์เนมชื่อดังจากทุกมุมโลกอย่าง John Galliano, Prada, Gucci, Vivienne Westwood, Issey Miyake, Versace, Sonia Rykiel ฯลฯ มาร่วมกันออกแบบเสื้อผ้าตัวจิ๋วให้กับเหล่านางแบบ Blythe ได้สวมเดินเฉิดฉายอยู่บนแคตวอล์ก กลางกรุงโตเกียวปี 2001 Takara แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดดเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า “Neo Blythes” พอครบรอบ 1 ปี Blythe คลอดสายพันธุ์ใหม่ทันที ภายใต้ชื่อ “Petite Blythe” ด้วยไซซ์กะทัดรัดเพียง 4 1/2 นิ้ว ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่เธอสามารถขยับเปลือกตาขึ้นลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น
และในปี 2001 Takara ได้รับหน้าที่แปลงโฉม Blythe ให้ดูโดนเด่นขึ้นด้วยขนาดตัว 11 นิ้ว พร้อมกับชื่อใหม่ว่า "Neo Blythe" และนับแต่นั้นมา ก็มีคอลเลกชั่นต่างๆ ของ Neo Blythes (นีโอ บลายธ์) เกิดขึ้นมากมายกว่า 37 แบบ ไม่ว่าจะเป็น Blythe ตัวแรก Parco Limited Edition (1,000 ตัว) ตามมาด้วยคอลเลกชั่น Mondrian, Rosie Red, Holly Wood, All Gold in One, Kozy Kape inspired, Aztec Arrival inspired, Sunday Best และ Miss Anniversary Blythe ซึ่งเป็นคอลเลกชั่นพิเศษ ที่ทำขึ้นเพื่อเป็นการฉลองวันเกิด ครบรอบ 1 ปี ของ Neo Blythes
และยังมีเซอร์ไพรสให้กับ์เหล่านักสะสมตุ๊กตาทั้งหลายด้วยการเปิดตัว Blythe สายพันธ์ใหม่นามว่า "Petite Blythe" (พีทิต บลายธ์) ด้วยขนาดตัวที่เล็กกะทัดรัดเพียง 4.5 นิ้ว แม้ว่าจะมีสีตาให้เลือกเพียงสีเดียว แต่มันสามารถขยับเปลือกตาขึ้น-ลงได้พร้อมๆ กับการดัดบอดี้ส่วนต่างๆ ให้ดูมีการเคลื่อนไหวเพิ่มมากขึ้น และมีออกมาทั้งหมด 48 แบบ ซึ่งคอลเลกชั่นนี้ถือว่าโดดเด่น และได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ Perfect Petite Series Blythe Dolls ที่ประกอบไปด้วย Asian Butterfly, Paisley Star และ Cosmo Afternoon ปิดท้ายด้วยการเปิดตัว Blythe Belle ตุ๊กตาพีวีซีที่จำลอง และย่อส่วนขนาดของ Blythe ให้เหลือเพียงแค่ 3 นิ้วเท่านั้น ปัจจุบันตุ๊กตาวินเทจที่ชื่อ Neo Blythes มีคอลเล็กชั่นต่างๆ รวมกว่า 120 คอลเล็กชั่นแล้ว